ด้วยปัญหาทางภูมิอากาศในปัจจุบัน ทั้งอากาศแปรปรวน ฝุ่นควัน มลพิษ หรือมีสภาพอากาศรุนแรงบ่อยครั้ง อันเกิดจากภาวะโลกร้อน ทำให้หลายๆ บริษัท ไม่ว่าจะเป็น Start-up หรือบริษัทใหญ่ ก็หันมาให้ความสนใจในเทรนด์ Carbon neutral กับ Net zero กันมากขึ้น ซึ่งทั้งสองอย่างนี้มีจุดประสงค์เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน อย่างไรก็ตาม หลายๆ คนยังมีข้อสงสัยว่า Carbon neutral กับ Net zero แตกต่างกันอย่างไร แม้ทั้งสองจะมีจุดประสงค์เดียวกัน แต่มีวิธีที่แตกต่างกัน บทความนี้จะพามาทำความเข้าใจกับทั้งสองคำนี้ว่าคืออะไร มีข้อแตกต่าง และวิธีการอย่างไรบ้าง
ทำความรู้จัก Carbon neutral คืออะไร
Carbon neutral หรือ Carbon neutrality คือ ความเป็นกลางทางคาร์บอน หมายถึง ปริมาณการปล่อยคาร์บอน (CO2) เข้าสู่ชั้นบรรยากาศเท่ากับปริมาณคาร์บอนที่ถูกดูดซับกลับมาโดยผ่านป่า ผืนดิน มหาสมุทร หรือด้วยวิธีการต่าง ๆ
ทำไมต้องเป็น Carbon neutral
อย่างที่ทราบกันดีว่าคาร์บอนไดออกไซด์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังนั้นการที่ธุรกิจต่างๆ หันมาทำ Carbon neutral จะช่วยชะลอการเกิดภาวะโลกร้อนได้ นอกจากนั้น เป้าหมายของการเป็น Carbon neutral คือการลดและชดเชยการปล่อยคาร์บอนจนเป็นกลาง เพื่อไม่ให้คาร์บอนขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศจนส่งผลอันตรายต่อโลก ทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่หลายๆ รายจึงหันมาทำ Carbon neutral กันมากขึ้น เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ยั่งยืนและลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น
-
- Apple ได้ประกาศเป็น Carbon neutrality อย่างสมบูรณ์ภายในปี 2030 พร้อมมุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยก๊าซลง 75% และลงทุนในแหล่งพลังงานสะอาดเพื่อชดเชยส่วนที่เหลืออีก 25%
- Starbucks วางแผนเป็น Carbon neutrality ภายในปี 2025 โดยขั้นตอนแรกคือลดการปล่อยก๊าซโดยการลดของเสียและใช้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และชดเชยโดยการลงทุนในกองทุนหุ้นส่วนคาร์บอนป่าไม้ (Forest Carbon Partnership Facility: FCPF)
ทำความรู้จัก Net zero คืออะไร
Net zero emissions คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หมายถึง การทำให้ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดูดซับกลับมามีค่าเท่ากับปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกมาก่อนหน้า ทำให้เกิดภาวะสมดุล และไม่มีก๊าซเรือนกระจกส่วนเกินที่ส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อนหรือสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้
ทำไมต้องเป็น Net zero
เป้าหมายของการเป็น Net zero คือ การลดและกำจัดก๊าซเรือนกระจกในระยะยาว จะเป็นการหยุดเพิ่มภาระให้กับชั้นบรรยากาศโลก Net zero จึงมีความสำคัญในแง่ที่สามารถทำให้โลกเข้าสู่ภาวะสมดุล หากบริษัทต่างๆ หรือประเทศในโลกสามารถสำเร็จเป้าหมาย Net zero ได้ ก็จะสามารถหยุดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ และหยุดการเกิดภาวะโลกร้อนได้ บริษัทยักษ์ใหญ่ที่หันมาทำ Net zero เช่น
-
- Amazon มุ่งมั่นที่จะเป็น Net zero ภายในปี 2040 โดยการกำจัดการปล่อยมลพิษจากการดำเนินงาน การขนส่ง และการปล่อยมลพิษที่เกิดจากกระแสไฟฟ้าที่บริษัทซื้อมาเพื่อใช้งาน นอกจากนั้นยังประกาศว่าจะลงทุนในโครงการปลูกป่าทั่วโลกอีกด้วย
- FedEx วางแผนก้าวไปสู่การเป็น Net zero ภายในปี 2040 โดยขั้นตอนแรกคือลดการปล่อยก๊าซลง 30% ภายในปี 2025 และชดเชยการปล่อยก๊าซที่เหลืออยู่ด้วยคาร์บอนเครดิต
Carbon neutral กับ Net zero ต่างกันยังไง
Carbon neutral กับ Net zero มีความคล้ายคลึงกันตรงที่เป็นการดำเนินงานเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อน แต่เป้าหมายและวิธีการของทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกัน
โดย Carbon neutral ใช้วิธีการลดการปล่อยคาร์บอน และชดเชยการปล่อยคาร์บอนด้วยวิธีการต่างๆ แต่ Net zero เป็นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และใช้วิธีกำจัดก๊าซเรือนกระจกส่วนเกิน Net zero จึงเป็นการดำเนินงานที่กว้างและทำได้หลากหลายกว่า Carbon neutral เพราะก๊าซเรือนกระจกนั้นไม่ได้มีแค่คาร์บอน แต่รวมไปถึงก๊าซทุกตัวที่ส่งผลต่ออุณหภูมิของโลกด้วย
นอกจากนั้น Net zero จะต้องดูดซับก๊าซเรือนกระจกบนชั้นบรรยากาศในระยะยาว และต้องควบคุมไม่ให้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตั้งแต่ต้นจนจบห่วงโซ่การผลิตอีกด้วย ทำให้ Net zero มีความท้าทายมากกว่า Carbon neutral และมักจะเป็นเป้าหมายในระดับประเทศมากกว่า
ทำไมต้องมี Carbon neutral กับ Net zero
อย่างที่กล่าวไปว่า Carbon neutral กับ Net zero มีจุดประสงค์เดียวกัน คือ เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนที่ส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อน เป็นการเยียวยาให้โลกกลับสู่ภาวะปกติ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เกิดขึ้นจากการประชุมระดับนานาชาติที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันไม่ให้เกิดภาวะโลกร้อนและสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง อันส่งผลเลวร้ายต่อโลก และเกิดเป็นข้อตกลงการเยียวยาภาวะโลกร้อนที่สำคัญ ดังนี้
Kyoto Protocol
พิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) เกิดขึ้นจากการประชุม COP ครั้งที่ 3 ที่เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ในปี 1997 โดยสาระสำคัญของพิธีสารเกียวโต คือ ลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้อยู่ในระดับต่ำกว่าปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 1990 โดยแต่ละประเทศจะต้องส่งข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปี 1990 ให้ทางสหประชาชาติ เพื่อแสดงและเปรียบเทียบให้เห็นการปล่อยก๊าซที่ลดลงในประเทศตัวเอง
ทั้งนี้ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาก ไม่ได้เข้าร่วมในพิธีสารนี้ ทำให้พิธีสารเกียวโตนั้นไม่สามารถแก้ปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเต็มที่ และต่อมาจึงมีความตกลงปารีส (Paris Agreement) ที่เป็นส่วนขยายเพิ่มเติมจากพิธีสารเกียวโต
Paris Agreement
ความตกลงปารีส (Paris Agreement) เกิดขึ้นจากการประชุม COP ครั้งที่ 21 ที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในปี 2015 เป็นส่วนขยายเพิ่มเติมจากพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) ในปี 1997 โดยสาระสำคัญของความตกลงปารีส คือ จำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกในศตวรรษนี้ให้ต่ำกว่า 2°C เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม และก้าวไปสู่เป้าหมายการรักษาอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5°C ทั้งนี้ ประเทศไทยได้เข้าร่วมในความตกลงปารีส โดยตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 20-25% ภายในปี 2030
จุดมุ่งหมาย 1.5°C
1.5°C คือตัวเลขอุณหภูมิโลกที่ต้องควบคุมไว้ไม่ให้เกินไปจากนี้ เนื่องจากนักวิทยาศาสตร์จากหลายประเทศได้คาดการณ์ว่าโลกจะร้อนขึ้นถึง 1.5°C ภายในสองทศวรรษข้างหน้า ถึงแม้ว่าประเทศต่างๆ จะลดการปล่อยก๊าซลงอย่างมากในทันทีก็ตาม หากโลกเข้าสู่อุณหภูมิ 1.5°C จะเกิดผลกระทบร้ายแรงต่อโลก เช่น อากาศร้อนมากขึ้น เกิดภัยแล้งและน้ำท่วม น้ำแข็งอาร์กติกละลาย รวมถึงเสี่ยงต่อการสูญพันธ์ุของสัตว์หลายๆ ชนิดอีกด้วย ทำให้จุดมุ่งหมาย 1.5°C เป็นสิ่งที่เตือนให้ทุกประเทศทั่วโลกตระหนักถึงภาวะโลกร้อน และต้องมีการดำเนินการแก้ไขโดยเร็วที่สุด
ทำไมต้องลดคาร์บอน และก๊าซเรือนกระจก
ก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gas) เป็นก๊าซที่อยู่ในชั้นบรรยากาศ มีความสามารถในการกักเก็บความร้อนจากแสงแดดที่ส่องเข้ามายังโลก โดยก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญมีหลายชนิด เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (carbon dioxide, CO2) ก๊าซมีเทน (methane, CH4) ก๊าซไนโตรัสออกไซด์ (nitrous oxide, N2O) และก๊าซฟลูออร์ไรด์ (fluorinated gas) ซึ่งหากมีก๊าซชนิดใดมากเกินไป จะส่งผลให้ชั้นบรรยากาศเสียสมดุล และก่อให้เกิดผลกระทบต่อโลก ดังนี้
-
- พลังงานรังสีความร้อนสะสมบนผิวโลกและชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้น ทำให้อุณหภูมิโลกร้อนขึ้น
- ทำลายโอโซนในชั้นบรรยากาศ ทำให้รังสีอันตรายสามารถส่งลงมายังพื้นโลกได้มากขึ้น
- เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม และสภาพภูมิอากาศของโลก เช่น ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น อากาศร้อน ฯลฯ
ด้วยผลกระทบเหล่านี้จะทำให้ความเป็นอยู่ของมนุษย์เกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วย เช่น ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นทำให้ผู้คนที่อาศัยบริเวณชายฝั่งเสี่ยงต่อภัยน้ำท่วมมากขึ้น เป็นต้น หากไม่เร่งแก้ไขก็จะไม่สามารถควบคุมภาวะโลกร้อนได้ ฉะนั้น การลดคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจกด้วยการทำ Carbon neutral กับ Net zero จะส่งผลดีต่อโลกและต่อบริษัทที่ทำได้ดังนี้
-
- ประหยัดต้นทุนในการดำเนินงาน เนื่องจากต้องลดการปล่อยคาร์บอน ทำให้ลดการทำงานที่ไม่จำเป็นออกไป และใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพแทน
- สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่บริษัทได้ เนื่องจากปัจจุบันผู้คนให้ความสนใจในการรักษาสิ่งแวดล้อม บริษัทที่ทำ Carbon neutral กับ Net zero จึงให้ภาพลักษณ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
- ส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมใหม่ เนื่องจากต้องค้นหาและพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนให้ได้มากที่สุด จึงสร้างโอกาสในการพัฒนาบริษัทให้มีนวัตกรรมใหม่ได้
เราจะช่วยลดคาร์บอน และก๊าซเรือนกระจกได้อย่างไร
เพื่อไม่ให้โลกต้องรับผลกระทบที่รุนแรงจากภาวะโลกร้อน จึงต้องลดการปล่อยคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจกบรรลุเป้าหมายการทำ Carbon neutral กับ Net zero ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่และเป็นเรื่องที่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกัน โดยเราทุกคนสามารถลดการปล่อยคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจกได้ ดังนี้
-
- บริโภคอย่างพอดี สัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคปศุสัตว์นั้นคาดการณ์ว่าสูงถึง 51% ซึ่งมีต้นเหตุมาจากกระบวนการผลิตเนื้อที่ปล่อยคาร์บอนจำนวนมาก รวมไปถึงการทำการเกษตรเพื่อนำมาเป็นอาหารสัตว์ยังทำลายพื้นที่ป่าไม้ที่ช่วยดูดซับคาร์บอน ดังนั้นการบริโภคอย่างพอดีจะสามารถช่วยลดกระบวนการผลิต ลดการทำลายป่า และลดการปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศได้
-
- ลดการสร้างขยะ และนำขยะมารีไซเคิล กองขยะที่ทับถมกันเป็นจำนวนมาก จะสร้างก๊าซมีเทนที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และเพื่อเป็นการลดขยะให้น้อยลง ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้ซ้ำได้ เป็นการลดขยะประเภทใช้แล้วทิ้ง อีกทั้งการแยกขยะก่อนทิ้งจะช่วยลดกระบวนการแยกขยะ และนำไปสู่กระบวนการรีไซเคิลได้ง่ายยิ่งขึ้น
-
- ประหยัดพลังงานที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งพลังงานไฟฟ้า พลังงานเชื้อเพลิง ต่างก็เป็นพลังงานสำคัญที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งพลังงานเหล่านี้ต้องผ่านกระบวนการเผาไหม้และก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมาก หากสามารถลดการใช้พลังงานและใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จะสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ โดยสามารถเริ่มต้นง่ายๆ ได้หลายวิธี เช่น ปิดไฟเมื่อไม่ใช้งาน, ใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีสัญลักษณ์เบอร์ 5, ใช้พาหนะที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ ฯลฯ
-
- รักษาและเพิ่มพื้นที่ป่า รักษาป่าที่ยังคงเหลืออยู่ พร้อมกับฟื้นฟูและทดแทนป่าที่เสียไปโดยการปลูกป่าเพิ่มเติม เพื่อให้มีป่าที่สามารถดูดซับก๊าซเรือนกระจก และลดปริมาณการปล่อยก๊าซสู่ชั้นบรรยากาศ
-
- เลือกใช้พลังงานทดแทน ใช้พลังงานทดแทน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม ทดแทนการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก นอกจากนั้นพลังงานทดแทนยังเป็นพลังงานที่ใช้แล้วไม่หมดไป จึงสร้างความยั่งยืนให้กับโลกและประเทศที่ใช้พลังงานทดแทนด้วย การเลือกใช้พลังงานทดแทนจากดวงอาทิตย์สามารถทำได้โดยหันมาใช้โซลาร์เซลล์ นอกจากจะช่วยลดคาร์บอนแล้วยังช่วยลดค่าไฟได้อีกด้วย หากสนใจติดตั้งโซลาร์เซลล์หรือมีคำถาม สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้กับทาง Sorarus ได้เลย
สรุป
Carbon neutral กับ Net zero มีความสำคัญต่อโลกอย่างมาก เพราะมีส่วนช่วยในการลดก๊าซเรือนกระจกอันเป็นต้นเหตุให้เกิดภาวะโลกร้อนได้ โดยคาร์บอนและก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดูดซับไปจากการทำ Carbon neutral กับ Net zero นั้น จะปรับสมดุลให้ชั้นบรรยากาศโลกและยับยั้งการเกิดภาวะโลกร้อนที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อโลกได้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทุกคนควรหันมาใส่ใจในเรื่องนี้ ทั้งภาคครัวเรือน ภาคอุตสาหกรรม ไปจนถึงภาคระดับประเทศ หากปล่อยให้โลกเผชิญกับภาวะโลกร้อนและไม่รีบแก้ไข อาจเกินการควบคุมและสายเกินไปที่จะเยียวยาโลกแล้ว