Sorarus - May 7-01

หาสาเหตุอัคคีภัย และวิธีป้องกันไฟไหม้บ้าน เพื่อการเป็นอยู่ที่ปลอดภัย

Key Takeaway

  • ไฟไหม้บ้านอาจเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นทั้งจากตัวเครื่องใช้ไฟฟ้า ลักษณะการใช้งานไฟฟ้า หรือความประมาทของตัวผู้ใช้งานเอง
  • วิธีป้องกันไฟไหม้บ้าน ทำได้หลักๆ ด้วยการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างถูกวิธี ตรวจสอบสายไฟ และเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นประจำ รวมถึงติดตั้งเครื่องตัดไฟ เพื่อป้องกันปัญหาไฟฟ้าลัดวงจร
  • เตรียมรับมือโดยการหาถังดับเพลิงมาติดบ้านไว้ และติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับควันไฟ และเรียนรู้การรับมืออย่างถูกต้องเมื่อเกิดเหตุไฟไหม้

ไฟไหม้บ้านอาจเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นทั้งจากตัวเครื่องใช้ไฟฟ้า ลักษณะการใช้งานไฟฟ้า หรือความประมาทของตัวผู้ใช้งาน โดยเหตุการณ์ไฟไหม้ ไม่เพียงแต่ทำลายบ้าน และทรัพย์สินมีค่าเท่านั้น แต่ยังอันตรายถึงชีวิต! รู้ไว้ปลอดภัยกว่า Sorarus รวมสาเหตุ และวิธีป้องกันไฟไหม้บ้าน เพื่อการเป็นอยู่ที่ปลอดภัยของคนในบ้าน ทำได้อย่างไร ไปดูกันได้ในบทความนี้!

5 สาเหตุไฟไหม้บ้าน เกิดจากอะไร

 5 สาเหตุไฟไหม้บ้าน เกิดจากอะไร

ก่อนทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีป้องกันไฟไหม้บ้าน เพื่อการเป็นอยู่ที่ปลอดภัยของคนในบ้าน เราควรเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจสาเหตุไฟไหม้บ้านก่อน ว่าเกิดจากอะไรได้บ้าง โดยทั่วไปแล้ว 5 สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดไฟไหม้บ้าน มีดังนี้

1. ไฟไหม้จากไฟฟ้าลัดวงจร

ไฟฟ้าลัดวงจร เป็นสาเหตุหลักของการเกิดไฟไหม้ ซึ่งเกิดจากกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านเส้นทางที่ไม่ถูกต้อง ส่งผลให้เกิดเป็นความร้อนสูงบนตัวสายไฟ และความร้อนที่ไปโดนวัสดุไวไฟอย่างผ้า หนัง หรือวัสดุไม้ จะทำให้เกิดเป็นไฟไหม้ได้อย่างรวดเร็ว 

โดยเฉพาะในบ้านที่มีอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เก่า หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่มีคุณภาพ โดยสาเหตุของไฟฟ้าลัดวงจรที่ควรระวัง เช่น สายไฟเสื่อมสภาพ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีปัญหา ไม่ได้มาตรฐาน ติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้า หรือปลั๊กไฟที่ไม่ถูกต้อง ใช้งานไฟฟ้า หรือปลั๊กพ่วงเกินกำลัง รวมถึงละเลยการตรวจสอบ หรือบำรุงรักษาอุปกรณ์ไฟฟ้า

2. ไฟไหม้จากการทำอาหาร

ไฟไหม้จากการทำอาหาร อีกหนึ่งสาเหตุการเกิดไหม้ที่หลายบ้านมองข้าม มักเกิดจากการลืมปิดแก๊ส การทำอาหารทิ้งไว้ และการวางวัตถุไวไฟอย่างผ้า หรือกระดาษใกล้กับเตาไฟ ทำให้ไฟลุกไหม้ลามไปยังส่วนอื่นๆ ของตัวบ้านอย่างรวดเร็ว 

วิธีป้องกันไฟไหม้จากการทำอาหาร คือการอยู่ในครัวตลอดเวลาที่ทำอาหาร จัดระเบียบในครัว โดยเฉพาะบริเวณเตาให้เรียบร้อย และหลังทำอาหารเสร็จแล้วก็ควรเช็กให้แน่ใจว่าไม่ลืมปิดแก๊ส หรืออุปกรณ์อื่นๆ หลังจากทำอาหารทุกครั้ง

ไฟไหม้จากธูป เทียน ก้นบุหรี่

3. ไฟไหม้จากธูป เทียน ก้นบุหรี่

ธูป เทียน และก้นบุหรี่ ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุการเกิดไฟไหม้ได้อย่างง่ายดาย และรวดเร็วจนคาดไม่ถึง โดยการจุดธูป หรือเทียนเมื่อทำพิธีกรรมในบ้าน อย่างการไหว้พระ แล้ววางทิ้งไว้ อาจทำให้สะเก็ดไฟปลิวไปโดนผ้า หรือกระดาษ เกิดเป็นไฟไหม้ลุกลามได้ 

นอกจากนี้ การทิ้งก้นบุหรี่ที่ยังดับไม่สนิทแบบไม่เป็นที่เป็นทาง ก็ทำให้เกิดไฟไหม้ได้เช่นกัน วิธีป้องกันไฟไหม้จากธูป เทียน หรือก้นบุหรี่ ทำได้โดยการเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นเมื่อทำพิธีต่างๆ หรือหลังจากสูบบุหรี่

4. ไฟไหม้จากตำแหน่งเครื่องใช้ไฟฟ้า

รู้หรือไม่? หากวางเครื่องใช้ไฟฟ้าชิดกัน ก็เป็นสาเหตุไฟไหม้ได้เช่นกัน เพราะเครื่องใช้ไฟฟ้าที่อยู่ชิด ติดกัน จะระบายความร้อนได้ไม่ดีเท่าที่ควร เกิดเป็นความร้อนสะสม เมื่อความร้อนสะสมมากๆ แล้วไปโดนวัตถุไวไฟในตัวบ้าน ก็ทำให้เกิดเป็นไฟไหม้ได้เช่นกัน 

นอกจากนี้ หากใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้มาตรฐาน มีคุณภาพต่ำ ก็จะยิ่งทำให้เกิดความร้อนสะสมได้ไวยิ่งขึ้น เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดไฟไหม้ได้อีกด้วย

5. ไฟไหม้จากความประมาท

ไฟไหม้จากความประมาท มักเกิดขึ้นเมื่อมีการใช้ไฟ หรือวัตถุไวไฟโดยไม่ระมัดระวัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างการลืมดับไฟก่อนออกจากบ้าน ละเลยการถอดปลั๊กหลังใช้งานเสร็จ เปิดโน้ตบุ๊คทิ้งไว้บนเตียง หรือโซฟา ซึ่งต่างก็เสี่ยงเป็นสาเหตุการเกิดไฟไหม้ได้เช่นกัน ดังนั้น จึงควรระมัดระวังในการใช้ไฟ และวัสดุไวไฟทุกครั้ง รวมถึงไม่ควรละเลย หรือประมาท เพราะรู้ตัวอีกที ไฟอาจจะไหม้บ้านทั้งหลังไปแล้วก็ได้

รวม 9 วิธีป้องกันไฟไหม้บ้าน ทำได้อย่างไรบ้าง

รวม 9 วิธีป้องกันไฟไหม้บ้าน ทำได้อย่างไรบ้าง

เมื่อรู้ถึงสาเหตุการเกิดไฟไหม้กันไปแล้ว มาดูวิธีป้องกันไฟไหม้ หรืออัคคีภัยภายในบ้าน ว่าทำได้อย่างไรบ้าง เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีภายในบ้าน โดยมีวิธีดังนี้

1. เก็บสิ่งของที่ติดไฟง่ายให้เป็นระเบียบ

สิ่งของที่ติดไฟง่าย ไม่ว่าจะเป็นกระดาษ ผ้า พลาสติก หรือวัสดุไม้แห้งๆ หากวางไว้กระจัดกระจายทั่วบ้าน หรือวางเอาไว้ใกล้จุดจ่ายไฟอย่างปลั๊กไฟ หรือสายไฟ หากมีความร้อนสะสม หรือเกิดสะเก็ดไฟขึ้น อาจทำให้ลามไปยังสิ่งของเหล่านี้ จนเกิดเป็นสาเหตุการเกิดไฟไหม้ได้ 

วิธีป้องกันไฟไหม้ง่ายๆ คือการจัดเก็บสิ่งของเหล่านี้ไว้อย่างเป็นระเบียบ และควรมีกล่อง หรือชั้นวางที่มีฝาปิดเพื่อป้องกันการปลิวไปติดไฟ

2. หมั่นตรวจสอบสายไฟ และเครื่องใช้ไฟฟ้าเสมอ

สายไฟฟ้าที่ชำรุด หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ชำรุด อาจเป็นสาเหตุของไฟฟ้าลัดวงจรที่ก่อให้เกิดไฟไหม้บ้านได้ ควรหมั่นตรวจสอบสายไฟ และเครื่องใช้ไฟฟ้าเสมอ เพื่อป้องกันไฟไหม้บ้าน โดยวิธีตรวจสอบสายไฟ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ทำได้ดังนี้

  • ตรวจสอบฉนวนหุ้มสายไฟ หรือเปลือกสายไฟ ว่ามีการลอกหลุดหรือไม่ หากพบว่ามีปัญหาให้รีบเปลี่ยนทันที
  • ขณะใช้ไฟ ให้ลองจับสายไฟ หรือสายปลั๊กพ่วงดูว่าร้อนผิดปกติไหม หากร้อนมากให้รีบถอดปลั๊กออก และงดใช้งานปลั๊กนั้น
  • ตรวจสอบเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านว่ามีควัน ส่งเสียงดังขณะใช้งาน หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าร้อนผิดปกติไหม หากมีปัญหาก็ควรหยุดใช้งานทันที

ปิดแก๊สหุงต้มเมื่อไม่ใช้งาน

 3. ปิดแก๊สหุงต้มเมื่อไม่ใช้งาน

วิธีป้องกันไฟไหม้ง่ายๆ ที่หลายบ้านมองข้าม คือการปิดแก๊สหุงต้มเมื่อไม่ใช้งาน เพราะการปิดแก๊สจะช่วยป้องกันแก๊สรั่วไหลออกจากถัง ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดไฟไหม้จากการระเบิด หรือการติดไฟจากแก๊สที่รั่วไหล 

โดยหลังจากที่ทำอาหาร ให้ใช้มือหมุนวาล์วแก๊สให้แน่น เพื่อปิดการไหลเวียนของแก๊ส ตรวจสอบว่ามีกลิ่นแก๊สหรือไม่ หากพบว่ามีกลิ่นแก๊ส ให้รีบเปิดหน้าต่างเพื่อระบายแก๊สให้ออกจากตัวบ้าน นอกจากนี้ ควรเน้นย้ำถึงความสำคัญของการปิดแก๊สหุงต้มหากไม่ใช้งาน ให้คนในครอบครัวทุกคนได้ทราบด้วย

4. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หรือจุดเทียนทิ้งไว้

อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า การสูบบุหรี่ หรือจุดเทียนทิ้งไว้ เป็นสาเหตุหลักของการเกิดไฟไหม้ เพราะควัน หรือเปลวไฟที่ยังหลงเหลือ อาจไปติดวัตถุไวไฟ แล้วส่งผลให้ไฟไหม้บ้านได้ วิธีป้องกันทำได้ง่ายๆ โดยการหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ในบ้าน ไม่จุดเทียน หรือธูปทิ้งไว้ ควรดับเทียน หรือธูปให้สนิทหลังจากทำพิธีกรรมเสร็จ

5. อย่ามองข้ามเครื่องอบผ้า

เครื่องอบผ้าก็เป็นสาเหตุไฟไหม้ได้ เพราะความร้อนสูงจากการอบผ้าจะทำให้บ้านร้อน แล้วความร้อนสะสมก็จะทำให้ไฟไหม้บ้านได้ โดยวิธีป้องกันไฟไหม้จากเครื่องอบผ้า ทำได้ดังนี้

  • หมั่นทำความสะอาด เอาฝุ่น ไรผ้า หรือสิ่งสกปรกออกจากตัวเครื่องอบผ้า
  • ใส่ผ้าให้พอดี เพราะผ้าที่เยอะไป จะทำให้เครื่องอบผ้าทำงานหนัก และร้อนมากขึ้นได้
  • ควรอยู่บ้านขณะอบผ้า เพื่อป้องกันหากมีเหตุฉุกเฉิน หรือเครื่องอบผ้าทำงานผิดปกติ
  • ติดตั้งเครื่องตรวจจับควันบริเวณเครื่องอบผ้า เพื่อเป็นสัญญาณเตือนเมื่อมีไฟไหม้

6. ขยับเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ให้ชิดกำแพง

เครื่องใช้ไฟฟ้าบางประเภทอย่างเตารีด ตู้เย็น และไมโครเวฟ มักสร้างความร้อนสูงขณะทำงาน ถ้าหากวางเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ชิดกับกำแพง ก็จะยิ่งทำให้ระบายความร้อนได้ยาก เกิดเป็นความร้อนสะสมจนเป็นสาเหตุไฟไหม้ได้ แถมยังส่งผลให้เครื่องใช้ไฟฟ้าพังง่าย อายุการใช้งานน้อยลงได้อีกด้วย 

วิธีป้องกันไฟไหม้ ควรวางเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ห่างจากกำแพงอย่างน้อย 15 เซนติเมตร มีที่วางที่รองรับน้ำหนักของเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ได้ เพื่อวางให้สูงกว่าพื้น เพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนจากด้านล่าง รวมถึงหมั่นตรวจสอบการระบายความร้อนว่ายังดีอยู่ไหม หากพบว่าระบายความร้อนได้ไม่ดีเท่าเมื่อก่อน ก็ลองปรับให้ห่างจากกำแพงมากขึ้น

หาถังดับเพลิงมาติดบ้านไว้

7. หาถังดับเพลิงมาติดบ้านไว้

แม้การใช้ถังดับเพลิงจะไม่ใช่วิธีป้องกันไฟไหม้จากต้นตอของปัญหา แต่ก็เป็นการป้องกันความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม เพราะไฟไหม้บ้านเกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ และมีโอกาสเกิดขึ้นทุกเมื่อ การมีถังดับเพลิงติดบ้านไว้จะช่วยให้เราควบคุมไฟไหม้ในระยะเริ่มต้นได้ และยังช่วยเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดคิด เพิ่มความปลอดภัยให้กับการเป็นอยู่ได้อีกด้วย

8. ติดตั้งเครื่องตัดไฟ

การติดตั้งเครื่องตัดไฟ เป็นวิธีป้องกันไฟไหม้ที่ควรคำนึงถึงตั้งแต่เริ่มต้นสร้างบ้าน เพราะเครื่องตัดไฟจะช่วยตัดการไหลของกระแสไฟฟ้าเมื่อมีการลัดวงจร หรือกระแสไฟฟ้าเกินจากหม้อแปลงไฟฟ้า อีกทั้งยังควบคุมการจ่ายไฟฟ้าให้เหมาะสมกับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ป้องกันปัญหาไฟฟ้าลัดวงจร ที่เป็นสาเหตุของการเกิดไฟไหม้นั่นเอง

9. ติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับควันไฟ

อุปกรณ์ตรวจจับควันไฟ ช่วยตรวจจับการเกิดควันจากไฟไหม้ จากนั้นตัวเครื่องจะส่งสัญญาณเตือนเมื่อตรวจพบควัน ช่วยให้ผู้คนภายในบ้านตื่นตัว ป้องกัน และหลีกหนีเมื่อมีไฟไหม้ได้อย่างทันท่วงที การติดตั้งเครื่องตรวจจับควันไฟ นับว่าเป็นวิธีป้องกันไฟไหม้ที่มีประสิทธิภาพ เพราะช่วยให้รับรู้ถึงการเกิดไฟไหม้ในระยะเริ่มต้นตั้งแต่การเกิดควัน

รับมืออย่างไรเมื่อเกิดเหตุไฟไหม้

รับมืออย่างไรเมื่อเกิดเหตุไฟไหม้

เมื่อรู้ถึงวิธีป้องกันไฟไหม้กันไปแล้ว ในกรณีที่เกิดไฟไหม้จริง ก็ควรมีวิธีการรับมืออย่างถูกต้อง เพื่อเป็นแนวทางการเอาตัวรอด ป้องกันความเสียหายจากไฟไหม้ได้ดียิ่งขึ้น โดยทำได้ดังนี้

  • ตั้งสติแล้วประเมินสถานการณ์: ตรวจสอบว่าไฟไหม้เล็กน้อย หรือรุนแรง หากไฟไหม้เล็กน้อยให้รีบใช้ถังดับเพลิงควบคุมเพลิงก่อน แล้วโทรแจ้งดับเพลิงที่เบอร์ 199 แต่ถ้าไฟไหม้รุนแรง ให้รีบตะโกนเตือนคนในบ้าน แล้วรีบอพยพทันที
  • ตรวจสอบทางหนี: ลองสัมผัสผนังก่อนเปิดประตูว่าร้อนไหม หากไม่ร้อนแสดงว่าไฟยังไม่ลามมาก ให้รีบหนีทันที แต่ถ้าผนัง หรือลูกบิดประตูร้อนมาก แสดงว่าไฟลามมากแล้ว ให้ป้องกันควันด้วยผ้าชุบน้ำ แล้วโทรบอกตำแหน่งกับเจ้าหน้าที่ เพื่อรับการเข้าช่วยเหลือ
  • อพยพในเส้นทางที่ปลอดภัย: หนีไปในทางเดียวกับต้นตอของไฟ หรือรีบวิ่งออกจากตัวบ้านโดยเร็ว หากอยู่ในคอนโดให้ใช้ทางหนีไฟในการหนี
  • อย่าหนีเข้าในจุดอับ: ไม่ว่าจะเป็นห้องที่อยู่มุมสุดที่หนีได้ยาก หรือในห้องน้ำที่เป็นจุดอับ เพราะทำให้เจ้าหน้าที่เข้ามาช่วยเหลือได้ยาก และยังเสี่ยงต่อการสำลักควัน หรือถูกไฟคลอก
  • ใช้ผ้าชุบน้ำอุดจมูก: หากต้องเดินผ่านควัน ควรใช้ผ้าชุบน้ำปิดจมูก และปาก เพื่อช่วยกรองควันพิษ ป้องกันการสูดดมควันที่มากเกินไปจนทำให้หมดสติ

สรุป

ไฟไหม้ คืออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นทั้งจากตัวเครื่องใช้ไฟฟ้า ลักษณะการใช้งานไฟฟ้า หรือความประมาท มีวิธีป้องกันไฟไหม้ง่ายๆ ด้วยการเก็บสิ่งของที่ติดไฟง่ายให้เป็นระเบียบ หมั่นตรวจสอบสายไฟ และเครื่องใช้ไฟฟ้าเสมอ ปิดแก๊สหุงต้มเมื่อไม่ใช้งาน หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หรือจุดเทียนทิ้งไว้ ระวังเมื่อใช้เครื่องอบผ้า ขยับเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ให้ชิดกำแพง และติดตั้งเครื่องตัดไฟ

รวมถึงเตรียมรับมือโดยการหาถังดับเพลิงมาติดบ้านไว้ และติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับควันไฟ เท่านี้ก็จะทำให้เราอาศัยอยู่ในบ้านได้อย่างปลอดภัย ห่างไกลจากอุบัติเหตุไฟไหม้ได้แล้ว

Sorarus - May 2-01

หม้อแปลงไฟฟ้าคืออะไร? ทำหน้าที่อย่างไร พร้อมวิธีการบำรุงรักษา

หม้อแปลงไฟฟ้า คืออุปกรณ์อะไร มีหลักการทำงานแบบไหน แล้วหน้าที่ของหม้อแปลงไฟฟ้าคืออะไร มีกี่ประเภทบ้าง และการบำรุงรักษาอย่างไรบ้าง ลองไปดูข้อมูลเพิ่มเติมด้วยกันได้เลย 

หม้อแปลงไฟฟ้าคืออะไร มีหลักการทำงานอย่างไร?

หม้อแปลงไฟฟ้าคืออะไร มีหลักการทำงานอย่างไร?

หม้อแปลงไฟฟ้าทำหน้าที่อย่างไร? คำตอบคือหม้อแปลงไฟฟ้าทำหน้าที่เปลี่ยนไฟฟ้าแรงดันสูงให้เป็นไฟฟ้าแรงดันต่ำ ซึ่งอุปกรณ์นี้ถือเป็นเครื่องกลไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าให้เป็นพลังงานกล หรือพลังงานกลให้เป็นพลังงานไฟฟ้าได้เช่นกัน มีทั้งหม้อแปลงแบบอยู่กับที่และเคลื่อนที่ได้ 

ส่วนหลักการทำงานของหม้อแปลงไฟฟ้า คือ ขดลวดปฐมภูมิมีพลังงานไฟฟ้าไหลผ่านจึงเกิดเส้นแรงแม่เหล็กส่งผ่านแกนเหล็กไปยังขดลวดทุติยภูมิ และมีแรงดันไฟฟ้าเกิดขึ้น ซึ่งอัตราส่วนของแรงดันไฟฟ้าระหว่างสองขดลวดนั้นขึ้นอยู่กับจำนวนรอบที่พันขดลวดทั้งสอง 

ประเภทของหม้อแปลงไฟฟ้า แต่ละแบบต่างกันอย่างไร?

ประเภทของหม้อแปลงไฟฟ้า แต่ละแบบต่างกันอย่างไร?

โดยทั่วไปแล้ว หม้อแปลงไฟฟ้าสามารถแบ่งประเภทได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งส่วนใหญ่มักจะแบ่งตามลักษณะและการใช้งาน ดังนี้

แบ่งตามวัสดุของฉนวน

  • หม้อแปลงไฟฟ้าชนิดฉนวนของเหลวติดไฟได้ (Flammable Liquid - Insulated Transformer) หรือหม้อแปลงน้ำมัน (Oil Type Transformer) เป็นหม้อแปลงที่ใช้น้ำมันเป็นสารฉนวนและช่วยระบายความร้อน 
  • หม้อแปลงไฟฟ้าชนิดฉนวนของเหลวติดไฟยาก (Less-flammable Fluid-Insulated Transformer) นิยมใช้ฉนวนเป็นซิลิโคน จึงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ติดตั้งได้ทั้งในอาคารที่เป็นห้องหรือพื้นที่ปิด และภายนอกอาคาร
  • หม้อแปลงไฟฟ้าชนิดฉนวนของเหลวไม่ติดไฟ (Non-Flammable Fluid-Insulated Transformer) นิยมใช้ปอร์คลอโรเอทิลีน (Perchloroethylene: PCE) หรือโพลีคลอริเนตไบฟีนีล (Polychlorinated Biphenyl: PCB) เป็นฉนวน แต่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงไม่ค่อยนำมาใช้งาน
  • หม้อแปลงไฟฟ้าแบบแห้ง (Dry-Type Transformers) ใช้สารเรซินเป็นฉนวน มักติดตั้งในอาคารสูงหรือสถานที่ที่ไวต่อไฟฟ้าสูง 

แบ่งตามลักษณะแกนเหล็ก

  • หม้อแปลงไฟฟ้าแกนเหล็กแบบคอร์ (Core Type) มีลักษณะเป็นแผ่นเหล็กบางๆ รูป L-L หรือ U-I ประกบเข้าด้วยกัน โดยมีขดลวดปฐมภูมิและทุติยภูมิพันแยกกันคนละข้างของแกนเหล็กทั้งสอง
  • หม้อแปลงไฟฟ้าแกนเหล็กแบบทอร์รอยด์ (Toroid Type) เป็นแผ่นเหล็กรูปวงกลมที่ประกบเข้าด้วยกันเป็นรูปทรงกระบอก โดยมีขดลวดปฐมภูมิและทุติยภูมิ พันเรียงเส้นรอบแกนเหล็กเป็นระเบียบ
  • หม้อแปลงไฟฟ้าแกนเหล็กแบบเชลล์ (Shell Type) ใช้แผ่นเหล็กบางๆ รูป E-I ประกบเข้าด้วยกัน โดยมีขดลวดปฐมภูมิและทุติยภูมิพันทับอยู่ตรงแกนกลาง มีทั้งแบบเดี่ยวและแบบกระจายหลายวงจร

แบ่งตามลักษณะของขดลวด

  • หม้อแปลงไฟฟ้าแบบแยกขด (Ordinary Transformer) มีขดลวดปฐมภูมิและทุติยภูมิแยกกันชัดเจน
  • หม้อแปลงไฟฟ้าแบบอัตโนมัติ (Auto Transformer) มีขดลวดปฐมภูมิและทุติยภูมิเป็นชุดเดียวกัน

แบ่งตามความถี่

  • หม้อแปลงไฟฟ้ากำลัง ใช้งานโดยมีความถี่ตามระบบไฟฟ้ากำลัง
  • หม้อแปลงไฟฟ้าความถี่แคบ ไว้ใช้งานกับวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกออกแบบมาให้ใช้งานในย่านความถี่เฉพาะ
  • หม้อแปลงไฟฟ้าความถี่กว้าง เป็นหม้อแปลงที่ใช้งานกับวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่มีย่านความถี่กว้าง
  • หม้อแปลงไฟฟ้าความถี่สูง ใช้งานกับวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่มีย่านความถี่สูงมาก
  • หม้อแปลงไฟฟ้าสัญญาณพัลซ์ (Pulse Transformer) ใช้กับวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งสัญญาณพัลซ์ ซึ่งทำงานด้านไฟฟ้ากำลังหรืออิเล็กทรอนิกส์กำลัง 

แบ่งตามการใช้งาน

  • หม้อแปลงอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Transformer) วงจรอิเล็กทรอนิกส์จะได้รับการจ่ายไฟมาจากหม้อแปลงประเภทนี้ ซึ่งจะมีขนาดไม่เกิน 110VA
  • หม้อแปลงกำลัง (Power Transformer) มีการจ่ายกำลังไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องและค่ากำลังไฟฟ้าสูง
  • หม้อแปลงไฟฟ้าเพิ่ม (Step-up Transformer) ใช้แปลงแรงดันไฟฟ้าให้สูงขึ้น มักใช้แปลงจากขนาด 220V เป็น 230V ไว้ใช้ในบ้านเรือน ส่วนในโรงงาน ใช้เป็นขนาด 380V 
  • หม้อแปลงไฟฟ้าลด (Step-down Transformer) ใช้แปลงแรงดันไฟฟ้าให้ต่ำลง โดยแปลงจากขนาด 22,000V ให้เหลือ 220V ไว้ใช้ในครัวเรือน
  • หม้อแปลงเครื่องมือวัด (Instrument Transformer) ใช้ในการวัดค่าแรงดันไฟฟ้าและค่ากระแสไฟฟ้า ในวงจรไฟฟ้ากำลังและวงจรอิเล็กทรอนิกส์ 

แบ่งตามระบบไฟฟ้า

  • หม้อแปลงไฟฟ้าเฟสเดียว (Single Phase Transformer) ประกอบด้วยขดลวดปฐมภูมิและทุติยภูมิหนึ่งชุดเพื่อใช้งานกับระบบไฟฟ้าเฟสเดียว
  • หม้อแปลงไฟฟ้าสามเฟส (Three Phase Transformer) ใช้งานกับระบบไฟฟ้าสามเฟส ประกอบด้วยขดลวดปฐมภูมิและทุติยภูมิสามชุด ต่อเชื่อมกันแบบ วายหรือสตาร์ (Wye or Star Connection) หรือแบบเดลตา (Delta Conncetion) 

วิธีตรวจสอบและบำรุงรักษาหม้อแปลงไฟฟ้า

วิธีตรวจสอบและบำรุงรักษาหม้อแปลงไฟฟ้า

หม้อแปลงไฟฟ้าเหมือนกับอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นเช่นกันที่ต้องได้รับการบำรุงรักษา ซึ่งควรมีการวางแผนในการบำรุงรักษา โดยจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ รวมถึงยังมีข้อแนะนำเพื่อให้บำรุงรักษาหม้อแปลงไฟฟ้าได้ดีขึ้น

ปัจจัยในการตรวจสอบและบำรุงรักษาหม้อแปลงไฟฟ้า

การพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการตรวจสอบและบำรุงรักษาหม้อแปลงไฟฟ้า เราสามารถสังเกตได้จากปัจจัยหรือองค์ประกอบต่างๆ ดังนี้

  • อายุของการใช้งาน ควรตรวจสอบหม้อแปลงที่ใช้งานมานานให้ละเอียดและบ่อยขึ้น เพราะอาจเกิดปัญหาได้ง่ายกว่าหม้อแปลงใหม่ 
  • สภาวะการใช้งาน การใช้งานที่ผิดปกติของหม้อแปลง อย่างการใช้งานเกินพิกัด หรือไฟฟ้าลัดวงจรที่ระบบจ่ายไฟ จึงควรรีบตรวจสอบเป็นพิเศษ 
  • หน้าที่สำคัญของหม้อแปลง บางหม้อแปลงมีหน้าที่สำคัญ เช่น จ่ายไฟฟ้าให้เขื่อนหรือสถานีสูบจ่ายน้ำ หากเกิดปัญหาจะทำให้ไม่สามารถจ่ายไฟฟ้าได้ จึงควรตรวจสอบและบำรุงรักษาเป็นพิเศษ 
  • สภาพแวดล้อมของพื้นที่ติดตั้ง การระบายอากาศ ฝุ่นละออง ความชื้นหรือสถานที่ติดตั้ง โดยเฉพาะพื้นที่ใกล้ทะเล สามารถส่งผลต่อสภาพของฉนวนได้ โดยอาจทำให้ฉนวนที่เป็นโลหะถูกกัดกร่อน ควรดูแลรักษาให้ถูกวิธี

ข้อแนะนำในการบำรุงรักษาหม้อแปลงไฟฟ้า

สำหรับการบำรุงรักษาหม้อแปลงไฟฟ้า มีสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ ดังนี้

  • เมื่อได้รับหม้อแปลงมาจากบริษัท ควรตรวจสอบสภาพทันที 
  • ไม่ควรป้อนพลังงานไฟฟ้าให้กับหม้อแปลง หากน้ำมันยังไม่ถึงระดับที่กำหนดไว้
  • ระหว่างการเคลื่อนย้ายหรือการขนส่ง ควรหลีกเลี่ยงการสั่นสะเทือนหรือการกระแทก ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายต่อส่วนประกอบภายใน
  • ตรวจสอบบุชชิ่งและส่วนประกอบอื่นๆ ให้อยู่ติดกันแน่นหนา ก่อนนำไปใช้งาน
  • ระวังทุกครั้งที่เติมน้ำมันหม้อแปลง ไม่ให้มีความชื้นหรือสารเจือปนลงไปในหม้อแปลง
  • ควรยกหม้อแปลงที่หูหิ้ว ไม่ควรยกที่ส่วนบุชชิ่งหรือส่วนที่ติดแน่นอยู่กับตัวหม้อแปลง
  • ควรยึดหม้อแปลงให้อยู่ในแนวดิ่ง หากเป็นหม้อแปลงที่ติดตั้งกับเสาไฟฟ้า
  • ตรวจสอบส่วนประกอบภายนอกทั้งหมด ว่ามีสนิมหรือรอยรั่วซึมหรือไม่ 
  • ตรวจเช็กระดับน้ำมันและทดสอบสภาพความเป็นฉนวนของน้ำมัน หากมีค่าต่างจากมาตรฐานให้กรองความบริสุทธิ์น้ำมันทันที (โดยหม้อแปลงขนาดใหญ่ควรทำทุก 3-6 เดือน ส่วนขนาดเล็กให้ทำทุกปี)  
  • ทุกการเปิดตัวถังเพื่อตรวจสอบ จะต้องปิดฝาถังให้สนิทและเช็กสภาพปะเก็นให้มีความสมบูรณ์ด้วย 
  • สำหรับหม้อแปลงที่ต่อขนานกันหลายตัวเพื่อช่วยจ่ายโหลด เมื่อมีตัวใดที่กำลังซ่อมอยู่ควรปลดออก เพื่อป้องกันอันตรายจากแรงดันไฟฟ้าย้อนกลับ

ประโยชน์ของหม้อแปลงไฟฟ้าที่ควรรู้

ประโยชน์ของหม้อแปลงไฟฟ้าที่ควรรู้

ประโยชน์หรือความสำคัญของหม้อแปลงไฟฟ้ามีอยู่หลายด้าน ดังนี้

  • ช่วยแปลงไฟฟ้าระดับแรงดันสูงให้ส่งผ่านระยะไกลได้ง่ายขึ้น จึงลดการสูญเสียพลังงาน
  • แปลงไฟฟ้าแรงดันสูงให้เป็นไฟฟ้าแรงดันต่ำ เพื่อให้ปลอดภัย เหมาะสำหรับการใช้งานในบ้านเรือนและโรงงานอุตสาหกรรม 
  • การแปลงไฟฟ้าแรงดันสูงให้เป็นแรงดันต่ำ ก่อนส่งไปตามระบบส่งจ่ายไฟฟ้า ทำให้ปลอดภัยต่อผู้ใช้ไฟฟ้า
  • แรงดันไฟฟ้าถูกแปลงให้คงที่และเหมาะสมกับอุปกรณ์ไฟฟ้า
  • ควบคุมกระแสไฟฟ้าแรงสูง 
  • ช่วยแยกวงจรไฟฟ้า เพื่อเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น
  • ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งผ่านกำลังไฟฟ้า ด้วยการส่งผ่านไฟฟ้าแรงดันสูงก่อน แล้วค่อยแปลงเป็นแรงดันต่ำ 

สรุป

หม้อแปลงไฟฟ้าคืออุปกรณ์ที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าให้เป็นพลังงานกลหรือกลับกัน ซึ่งทำหน้าที่เปลี่ยนไฟฟ้าแรงดันสูงให้เป็นไฟฟ้าแรงดันต่ำ ผ่านหลักการคือมีพลังงานไฟฟ้าไหลผ่านขดลวดปฐมภูมิจึงเกิดเส้นแรงแม่เหล็กส่งผ่านแกนเหล็กไปยังขดลวดทุติยภูมิ และมีแรงดันไฟฟ้าเกิดขึ้น โดยส่วนใหญ่มักจะแบ่งประเภทตามลักษณะและการใช้งาน และควรตรวจสอบหรือบำรุงรักษาอยู่เสมอเพื่อให้มีอายุการใช้งานได้ยาวนานขึ้น หากเลือกใช้หม้อแปลงไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูง จะช่วยลดการสูญเสียพลังงานและลดค่าไฟฟ้าได้ แต่หากไม่ต้องการติดตั้งใหม่ อีกทางเลือกที่ดีคือการติดตั้งโซลาร์เซลล์ โดยสามารถปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญจาก Sorarus เพื่อประเมินและเลือกโซลาร์เซลล์ที่เหมาะสมกับความต้องการของคุณ เพื่อให้การลงทุนคุ้มค่าในระยะยาว

สงวนลิขสิทธิ์ © 2021 บริษัท อินโนเวทีฟ เอ็นเนอร์จี จำกัด